บทที่ 1568 จักรวาลในฝ่ามือ
ตูม!
เสียงดังสนั่นพลันดังขึ้นกลางอากาศ
หลังจากนั้น เสียงกระบี่ทะลุผ่านท้องฟ้าและผืนดินราวกับว่าได้ทำลายสวรรค์ทั้งเก้าก็ดังกึกก้องออกมาจากค่ายกล แล้วคลื่นพลังอันแหลมคมก็โจมตีไปยังศัตรูทั้งหลายโดยรอบอย่างดุร้าย
ทำให้พวกมันถูกระเบิดไปพร้อมกันกับโลกไร้ชีวิตใบนี้
ตู้ม!
ท่ามกลางแสงศักดิ์สิทธิ์สว่าง ภายใต้อักขระลึกลับทั้งหลายนั้น ชายหนุ่มผู้งามสง่าในชุดคลุมสีดำและกระบี่เล่มยาวในมือก็ค่อย ๆ ย่างก้าวออกมา
เขาดูเหมือนจักรพรรดิศักดิ์สิทธิ์ผู้มีพลังโกลาหลอันลึกลับและน่าสะพรึงกลัวแผ่อยู่รอบกาย ราวกับว่ามีดาวเคราะห์อันยิ่งใหญ่โคจรขึ้นลง หมุนวนอยู่โดยรอบตลอดเวลา ส่วนด้านหลังของฉู่โม่วก็เกิดภาพมายาสว่างไสวมากมาย ที่เข้าปกคลุมห้วงมิติและกาลเวลาทั่วดินแดนแห่งนี้ในทันที
นอกจากนั้น กระแสแปรปรวนจากชายร่างบางยังมีกลิ่นอายน่าหวาดกลัวเหนือทุกสิ่งมีชีวิตและทำให้โลกทั้งใบต้องส่งเสียงโอดครวญอยู่อีกด้วย
เขาคือฉู่โม่วผู้ปรากฏตัวออกมาอีกครั้งพร้อมกับกระบี่คู่ใจ
“นี่… นี่มันเกิดขึ้นได้ยังไง?”
ในตอนนี้ แววตาของหยางเฉินนั้นเต็มไปด้วยความหวาดผวาและเขาอุทานออกมาด้วยสีหน้าบิดเบี้ยวสุดขีด
เขาไม่เคยแม้แต่จะจินตนาการถึงเรื่องนี้มาก่อนเลย ชายหนุ่มเผชิญหน้ากับรูปปั้นหินที่รวมพลังกันกว่าสิบตัว แม้แต่ผู้ทรงพลังในขั้นจักรพรรดิวิถียุทธ์ระดับสูงก็ยังต้องเตรียมตัวเป็นอย่างดี หากไม่ระวังตัว พวกเขาก็สามารถบาดเจ็บสาหัสได้ทุกเมื่อ
แต่กลับกัน…
ณ ตอนนี้ ฉูโม่วไม่เพียงแค่ก้าวเดินออกมาได้ แต่ทั้งร่างกายของเขายังคงสมบูรณ์ดี ราวกับว่าทุกการโจมตีนั้นไม่ต่างจากการจั๊กจี้ที่ไม่อาจทำอันตรายใด ๆ ได้ทั้งสิ้น
คิดได้ดังนั้น สายตาของหยางเฉินก็เย็นยะเยือก เจตสังหารพลุ่งพล่านออกมาจากก้นบึ้งของหัวใจ
“ฉู่โม่ว ถ้าครั้งเดียวยังไม่พอ งั้นฉันก็จะฆ่าแกอีกรอบ!”
“มาดูกันว่าแกจะทนได้อีกสักกี่น้ำ?!”
บนผืนฟ้า ร่างกายของหยางเฉินอาบไปด้วยพลังงานแสนลึกลับ เขาแผดเสียงตะโกนลั่นพร้อมแววตาอันเยือกเย็น
เมื่อพูดจบ
ค่ายกลก็เกิดกฎเกณฑ์ลึกลับไหลเวียนราวกับว่าอักขระนับไม่ถ้วนได้กลับกลายเป็นสายน้ำ
รูปปั้นหินซึ่งมีพละกำลังเทียบเท่ากับผู้ปลุกพลังขั้นจักรพรรดิวิถียุทธ์ทั้งสิบคนก็ฟื้นคืนชีพกลับมา พร้อมกับจิตสังหารสีแดงฉานส่องสว่างออกมาจากดวงตาอีกครั้ง
ตูม!
รูปปั้นหินทั้งสิบพุ่งทะยานขึ้นไปเหนือฟ้า พลังของพวกมันประสานรวมกันเป็นหนึ่ง จิตสังหารเยี่ยงเผ่าอสูรแพร่กระจายออกมาอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ทั่วทั้งค่ายกลอัดแน่นไปด้วยพลังสังหารน่าสยดสยอง
พลังเช่นนี้นั้นสามารถสร้างบาดแผลสาหัสให้กับผู้ปลุกพลังในขั้นจ้าววิถียุทธ์ได้ด้วยการโจมตีเพียงครั้งเดียว หรือมันอาจสังหารเขาได้เลยเสียด้วยซ้ำ
“แกยังจะใช้รูปปั้นหินพวกนั้นต่อสู้อีกเหรอ?”
“เคยใช้ไปแล้วรอบหนึ่งแล้วแท้ ๆ ยังจะดื้อด้านใช้ให้ได้อีกนะ!”
“พอแค่นี้แหละ!”
สายตาของฉู่โม่วยังคงแน่วแน่ขณะที่มองภาพนี้และกล่าวด้วยน้ำเสียงนิ่งสงบ
และเมื่อเขาพูดจบ…
ตูม!
รัศมีอันทรงพลังมหาศาลก็ถูกปลดปล่อยออกมาจากร่างกายของเขาในทันใด มันให้ความรู้สึกราวกับเสาอันมั่นคงที่ตั้งตระหง่านขึ้นไปเหนือท้องฟ้าและสวรรค์ทั้งเก้า
พลังแห่งกฎเกณฑ์หมุนวน ทำให้ผู้ปลุกพลังขั้นจักรพรรดิเทวะยุทธ์จากตระกูลเฉินจำนวนหนึ่งภายในวงล้อมต้องหันมามอง แล้วพวกเขาต่างก็ผงะไปด้วยความเหลือเชื่อถึงขีดสุด
“กระบี่โกลาหล ทำลายมัน!”
น้ำเสียงอันสงบเย็นของฉู่โม่วดังกึกก้องออกมาจากท้องฟ้าเบื้องบน
เขาก้าวเท้าออกไปข้างหน้า ก่อนจะปลดปล่อยกระบี่อันน่าเกรงขาม และในขณะเดียวกัน พลังโกลาหลนับไม่ถ้วนก็ปะทุออกไปไกลนับร้อยเมตรรอบร่างกาย
ท่ามกลางพลังโกลาหลศักดิ์สิทธิ์เหล่านั้น ปราณกระบี่อันแหลมคมความยาวกว่าหลายกิโลเมตรปรากฏตัวขึ้นในทันใด
“ฟัน!”
น้ำเสียงสงบนิ่งพลันเอ่ยขึ้น
ปราณกระบี่เฉียบแหลมกลางอากาศ ก่อนจะตัดผืนฟ้าผ่านห้วงมิติและกาลเวลาไปเป็นทางยาวเพื่อสังหารเขาอย่างรวดเร็ว
ไม่ว่ามันจะผ่านไปทิศทางใดก็จะทำให้ต้องระเบิดออกทุกหนแห่ง
ปราณกระบี่แผ่ขยายออกไปพร้อมกับพลังไร้ขีดจำกัด ภายในกระแสพลังอันแข็งแกร่งนั้นเต็มไปด้วยกลิ่นอายแห่งการสังหารราวกับเกิดปรากฏการณ์บางอย่างขึ้น มันเต็มไปด้วยพลังที่สามารถทำลายสวรรค์ทั้งเก้าได้ในเสี้ยวลมหายใจ
นั่นก็เป็นเพราะกระบี่เล่มนี้ไม่ได้เกิดขึ้นจากพลังโจมตีอันรุนแรงเพียงอย่างเดียว แต่มันยังมีวิถีกระบี่อัดแน่นอยู่ข้างในอีกด้วย
ในตอนนี้ กระบี่ยักษ์กำลังฟันห้วงมิติและกาลเวลาโดยรอบและทะยานขึ้นไปสู่ท้องฟ้า ก่อนจะตรงไปสังหารรูปปั้นหินทั้งสิบ
โลกทั้งใบต้องสั่นสะท้าน ห้วงมิติและกาลเวลาระเบิดย่อยยับ
ค่ายกลขนาดมหึมาโดยรอบสั่นไหวอย่างรุนแรง ท้ายที่สุด พวกเขาก็ต้านทานไม่ไหวอีกต่อไปจนเกิดรอยแยกบนค่ายกล รอยแยกนี้ก็ดูเหมือนจะมีปฏิกิริยาพิเศษบางอย่าง ภายในชั่ววินาที ทั่วทั้งค่ายกลก็ถล่มลงมาก่อนจะระเบิดตัวอย่างหมดสภาพ
ตูม!
บนผืนฟ้า เมื่อรูปปั้นหินทั้งสิบหมดสิ้นพลังงาน พวกมันก็สูญเสียพลังไปจนหมดสิ้นและกลับไปเป็นแค่รูปปั้นหินธรรมดา ๆ อีกครั้ง ก่อนจะร่วงหล่นลงไปกลางอากาศ
แต่ไม่เพียงเท่านั้น
สายตาของฉู่โม่ววาวโรจน์ เขาก้าวออกไปพร้อมกับแขนเสื้อขนาดใหญ่พลิ้วไหวราวกับม่านคลุมท้องฟ้า มันดูดกลืนรูปปั้นหินทั้งสิบหายเข้าไปข้างในทันที
มันคือจักรวาลในแขนเสื้อ!
“ฉู่โม่ว แกกล้าขโมยรูปปั้นหินโบราณจากฉันไปหน้าด้าน ๆ อยากตายนักใช่ไหม!?”
เมื่อเห็นภาพเช่นนี้ แววตาของหยางเฉินเดือดดาล เขากระฟัดกระเฟียดออกมาในทันที
ขณะเดียวกัน กลิ่นอายจิตสังหารก่อตัวขึ้นในสายตาของเขา ราวกับว่ามีสายฟ้าแสนดุร้ายคำรามอยู่ในอากาศและจับตัวกันเป็นตาข่ายสายฟ้าขนาดยักษ์
ตาข่ายสายฟ้านี้เต็มไปด้วยจิตสังหารอันแกร่งกล้าจนสามารถทำลายโลกทั้งใบได้
เมื่อเขาพูดจบ…
ฝ่ายฉู่โม่วเองก็หันไปจ้องมองอีกฝ่ายข้ามฟ้าไกลและสบตากับศัตรู แล้วทั้งสองจะพุ่งตรงเข้าปะทะกันอีกครั้งหนึ่ง
เสียงสายฟ้าคำรามดังกึกก้องไปทั่วท้องฟ้า เสียงระเบิดยังคงดังสนั่นอย่างต่อเนื่อง
สายตาของหยางเฉินเต็มไปด้วยความโกรธแค้น ในขณะเดียวกัน จิตสังหารของเขาก็เป็นราวกับหุบเหวไร้ก้นที่สามารถฝังสวรรค์ทั้งเก้า และเต็มไปด้วยพลังแห่งการทำลายล้าง
ระหว่างนั้น…
สีหน้าของฉู่โม่วยังคงสงบสนิท แววตาของเขาส่องประกายเล็กน้อย แล้วพลังลึกลับไหลเวียนพร้อมกับสายธารแห่งกาลเวลาที่ค่อย ๆ เผยตัวออกมาจากความมืด
พลังแห่งกฎเกณฑ์มหาศาลราวกับสัตว์ประหลาดสั่นสะท้านอย่างรุนแรงราวกับว่าจะทำลายทั่วทั้งผืนฟ้า
เมื่อสายตาของทั้งสองมาบรรจบกัน จิตสังหารดุจสัตว์ประหลาดก็ค่อย ๆ ก่อกำเนิดขึ้นกลางอากาศจนแม้แต่ห้วงมิติและกาลเวลาโดยรอบเริ่มหยุดนิ่ง
หลังจากผ่านอีกชั่วอึดใจ
เมื่อห้วงมิติและกาลเวลาเป็นวงกว้างไม่เคลื่อนไหวอีกต่อไป ดวงตาของหยางเฉินก็เปลี่ยนทิศไป ก่อนเกิดเสียงดังสนั่นเลื่อนลั่นในอากาศ
“ฉู่โม่ว จงตายซะ”
น้ำเสียงไร้เมตตาของหยางเฉินค่อย ๆ เงียบลง
ตู้ม!
เขาก้าวออกไปในอากาศอย่างรวดเร็ว
หลังจากนั้น…
พลังศักดิ์สิทธิ์สีทองอร่ามก็พวยพุ่งออกมาจากร่างกายของฉู่โม่ว หลั่งไหลออกไปสู่ห้วงอากาศ พวกมันรวมตัวกันแล้วกลับกลายเป็นร่างลวงตาของวานรศักดิ์สิทธิ์
0 ความคิดเห็น