ทุกอย่างมืดสนิทไร้แสงสว่าง อากาศก็หนาวเหน็บจนวิญญาณของเยว่ชิงรับรู้ได้
ดวงตาสีชาลืมขึ้นทีละน้อย มองไปโดยรอบก็ไม่พบสิ่งใดเลยนอกจากความมืดนี้ เขาสิ้นสลายอีกหนแล้วกระมัง ถึงได้มาเยือนที่มืดมิดแห่งนี้
เยว่ชิงหยัดกายตนเองให้ลุกนั่ง แม้แต่พื้นก็ยังเย็นเฉียบจนรู้สึกหนาว อาภรณ์ที่สวมใส่นั้นอบอุ่นไม่มากพอที่จะทำให้ความหนาวทุเลาลง
“ไป๋เยว่ชิง”
เสียงเรียกจากความมืดตามมาหลอกหลอนอีกครา พร้อมกับแสงไปจากตะเกียงที่พอจะมองเห็นบ้าง เมื่อแสงตะเกียงเข้ามาใกล้ก็พบว่าเป็นชายแก่เครายาว แต่งกายราวกับผู้คุมวิญญาณก็ไม่ปาน
“...”
“เยว่ชิง ข้ารอเจ้ามาเยือนที่นี่นานมากแล้ว”
“ท่านคือ?”
ตาแก่เครายาวหัวเราะอยู่ในลำคอ ปกติเยว่ชิงเองก็ชอบหัวเราะในลำคอเช่นกัน แต่พอเป็นผู้อื่นทำใส่เขากลับไม่ชอบใจขึ้นมาซะอย่างนั้น “ข้าก็คือขุมพลังในกายวิญญาณของเจ้า”
“ดาราดับ!”
“ถูกแล้วเยว่ชิง ข้าคือเฒ่าโหลวก่าย เดิมทีเป็นดาวนพเคราะห์ที่ส่องแสงสว่าง ต่อมาไม่นานข้าก็กลายเป็นดาวต้องคำสาปจากการช่วยคนผู้หนึ่ง”
“เหตุใดจึงมอบพลังนี้ให้ข้า?”
“สิ่งนี้ไม่เรียกว่ามอบหรอก ข้าเป็นคำสาปของเจ้ามาแต่ต้น”
“...”
“ในเมื่อเราเป็นหนึ่งเดียวแล้ว ข้าเองก็จะหลุดพ้นจากที่มืดมิดแห่งนี้ และเป็นเจ้าที่ต้องรับมันกลับไป” เฒ่าโหลวก่ายดูมีความสุขในคำพูดของตน ผิดกับเยว่ชิงที่ขมวดคิ้วผูกเป็นปม คำสาปอย่างนั้นหรือ? คนอย่างเขานั้นเกิดมาเพื่อเป็นที่รองรับบาปต่ำช้าหรืออย่างไร
“ข้าไม่เข้าใจ”
“ข้าอยากรู้นักว่าทำไมเขาจึงปกป้องเจ้านัก สร้างที่นี่กักขังข้าเอาไว้ ปล่อยเจ้าเป็นอิสระจากการกระทำชั่วร้าย เขายินยอมที่จะรับเคราะห์ทั้งหมดเองก็เพื่อเจ้า”
“เขาไหน? ใครกัน! ท่านรีบพูดออกมาให้ข้าเข้าใจ”
ยิ่งฟังเฒ่าโหลวก่ายพูด เยว่ชิงก็ยิ่งรู้สึกว่าเขาไม่เข้าใจเลยสักนิด คำพูดนั้นเหมือนจะเฉลยทุกอย่าง ทว่ามันกลับอ้อมไปมาจนเดาทางไม่ออก
“เจ้าไม่เข้าใจหรอกเยว่ชิง ข้าเป็นเช่นนี้ก็เพราะเชื่อใจเจ้า ข้าเฝ้ารอวันที่บาปเคราะห์คืนสนองเจ้า แต่ก็อย่างว่านั้นล่ะ ความตายก็เอาคนเช่นเจ้าไม่อยู่”
“เอ๊ะ!”
“นี่เยว่ชิง ข้าชอบความแค้นมาก และข้าจะช่วยเจ้าล้างแค้น ให้มือของเจ้าแปดเปื้อนจนชะล้างไม่ออก ให้เจ้าลงนรกโลกันต์สมดังใจหวัง ข้าสัญญาเลยว่าเจ้าจะลงเอยเช่นนั้นแน่นอน!”
“ข้าไปทำอะไรให้ท่าน เหตุใดต้องมาพูดจาเช่นนี้”
“นั่นน่ะสิ ความจำของเจ้าหายไป เจ้าเกิดใหม่จากจิตที่ถูกชะล้าง คงลืมไปหมดแล้วกับเรื่องชั่วช้าที่ตนทำทั้งหมด แต่ไม่เป็นไรหรอกเยว่ชิง เจ้าจะได้ลงสนามรบนองเลือดเช่นที่ผ่านมา ข้าจะทำให้เขามองเห็นว่าเขาคิดผิด เจ้าไม่มีทางเปลี่ยนเป็นคนใหม่ได้อย่างที่เขาเชื่อ!”
คำพูดสุดท้ายของเฒ่าโหลวก่ายวนเวียนไปมา เยว่ชิงลืมตาขึ้นก็พบว่าตนเองนอนอยู่บนเตียง เมื่อครู่นั้นเขาไปพบเจอกับเจ้าของพลังดาราดับ ตาเฒ่านั้นไยต้องพูดจาราวกับว่าเขามันเลวทราม ทั้งที่เยว่ชิงนั้นไม่พบเจอกับเฒ่าโหลวก่ายมาก่อน
“เยว่ชิง! เป็นอย่างไรบ้าง?”
“นี่เจ้าไม่ไปเรียนหรือ”
“ข้าขอลามาดูแลเจ้าน่ะสิ ร่างกายเจ้ายังอ่อนแอนัก ข้าเป็นกังวลกลัวว่าจะมีสิ่งใดผิดปกติ” จื่อหลิงตอบพร้อมกับจุดธูปหอมคลายกังวล เป็นธูปที่ใช้สำหรับการเข้าฌานสมาธิ มันช่วยให้จิตที่ยังครุ่นคิดคลายลง
“เจ้าบ้า! ข้าไม่เป็นอะไรสักหน่อย”
“เงียบเลยน่า เพราะเจ้าเอาแต่ปิดบังข้า เมื่อคืนเจ้าเกือบตายอีกหนแล้วรู้ไหม!”
เยว่ชิงหัวเราะขึ้นมาหลังได้ยินจื่อหลิงเอ่ย เจ้านี่ถ้าจะกังวลมากจนคิดเพ้อไปเอง เขาคงไม่ตายอีกแล้ว นับจากนี้คงมีเพียงการสลายดวงจิตเท่านั้นที่จะฆ่าเขาไปตลอดกาล
ในทั้งวันพุทธองค์หลี่จิ้งหยางใช้ชีวิตที่ห้องตำรา เขาเปิดอ่านคัมภีร์เล่มแล้วเล่มเล่า ส่วนมากเป็นคัมภีร์แนวทางการชำระจิต ปลอบประโลมดวงวิญญาณ การขจัดความมืดมิดในห้วงจิต
ทุกตัวอักษรในคัมภีร์ ทุกตำราในห้องนี้ หลี่จิ้งหยางอ่านและจดจำได้ทุกเล่ม เขาใช้เวลาที่ผ่านมาในชีวิตเพื่อศึกษาหาความรู้ มีสิ่งเดียวที่พุทธองค์อย่างเขาไม่อาจรับรู้ นั่นก็คือจะทำอย่างไรให้เรื่องราวพวกนี้จบลง ให้มันสิ้นสุดทุกสิ่งอย่างในชาติภพนี้
หลี่จิ้งหยางเป็นถึงพุทธองค์ที่สามโลกให้ความยำเกรง เขาเป็นแสงสว่างที่สาดส่องในที่มืดมิด ผู้คนมากมายขนานนามกราบไหว้ตัวเขา ทว่าย้อนกลับมาดูตัวเขาในตอนนี้ เวลานี้ หลี่จิ้งหยางก็เป็นเพียงนักบวชที่ไม่มีทางไป ทำการใดก็ไม่สำเร็จสักครา
สำนักเทียนฉียังคงตามหาเคล็ดวิชานพเคระห์เจ็ดดาราไม่เลิก การที่เยว่ชิงมีพลังดาราดับนั้นคงถูกค้นพบเข้าสักวัน และเมื่อนั้นเคล็ดวิชานี้จะทำลายทุกสิ่งอีกตามเคย เสวี่ยฉินคงไม่หยุดที่จะยึดครองวิหารระฟ้ารวมถึงตัวของเขา
พุทธองค์มิอาจเรียกเยว่ชิงมาทำการชำระจิต เมื่อพลังดาราดับถูกปลดปล่อยก็ยากที่จะแก้ไข
เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วหลี่จิ้งหยางจะยอมบอกความจริง หรือจะซ่อนมันจากทุกสิ่งตามคำสั่งขององค์ยูไล ครั้งหนึ่งการขอร้องอ้อนวอนต่อชะตาลิขิตเคยสัมฤทธิ์ผล ทว่าตอนนี้พุทธองค์ไม่อาจทำเช่นนั้นได้อีกแล้ว โอกาสของเราเหลือเพียงคนละหนึ่ง หากพลาดพลั้งก็ต้องกลับคืนจุดเดิม
และแน่นอนว่าหลี่จิ้งหยางเหนื่อยที่จะวนเวียน เขาอยากสำเร็จมรรคผลเข้าสู่หนทางนิพพาน
“หลี่จิ้งหยาง”
“ท่านอาจารย์”
“เฒ่าโหลวก่ายเพิ่งออกมาพบเรา เขาหลุดพ้นจากการควบคุมของเจ้าแล้ว”
“...”
ดวงตาสีอำพันวูบไหวไปมา เรื่องนี้เขาย่อมรู้ดีอยู่แล้ว เมื่อใดที่พลังดาราดับกลับคืนเจ้าของ เมื่อนั้นโหลวก่ายก็จะหลุดพ้น ในตอนนั้นหลี่จิ้งหยางมั่นใจในความคิดของตน หากเยว่ชิงไม่ตายไป หรือหากเยว่ชิงยังมีชีวิตอยู่ก็เปลี่ยนสิ่งใดไม่ได้อยู่ดี
“ขออภัยขอรับ ข้านั้นทำเรื่องเสีย”
องค์ยูไลมาในร่างของจิต หลังพบว่าลูกศิษย์กำลังตกอยู่ในสภาวะกล้ำกลืน “อย่าผิดพลาดซ้ำ มิเช่นนั้นคนที่เสียใจก็คือเจ้า”
“ขอรับ”
“เราย่อมเข้าใจเจ้าหลี่จิ้งหยาง แต่เจ้าเองก็ต้องเข้าใจความเป็นไปด้วย”
“...”
“การหลุดพ้นนั้นเป็นความปรารถนาสูงสุดของเจ้า ฉะนั้นรักษาความตั้งใจนี้ไว้ให้ดี อย่าอ่อนไปกับความรู้สึกที่ไม่จีรัง และอย่าหลงไปในวังวนของอารมณ์”
“ข้าเข้าใจแล้ว”
“เราทำได้ก็เพียงเตือนสติเจ้า ในฐานะของอาจารย์ที่ห่วงหาศิษย์ ส่วนที่เหลือเป็นเจ้าต้องจัดการเองทั้งหมด มีเพียงสองมือของเจ้าที่หยุดเรื่องนี้ได้”
องค์ยูไลกล่าวจบก็เลือนหายไป หลี่จิ้งหยางกลับมาตั้งสติได้อีกครั้ง ใบหน้างดงามก้มหน้าอ่านตำราต่อไปแม้จะจำเนื้อหาด้านในได้หมดแล้วก็ตาม ถึงอย่างไรมันก็ดีกว่าการที่เอาแต่ว้าวุ่นใจ จนตั้งสมาธิไม่ได้เลยเช่นนี้
ไป๋เยว่ชิงลงเขาไปอีกรอบในช่วงเย็น หลังจากที่ศิษย์ในวิหารระฟ้าพูดกันเรื่องของเสวี่ยฉิน ที่ยังไม่ยอมกลับสำนักเทียนฉี และครานี้ดูเหมือนบิดาของเขาจะตามมาสมทบด้วย ก็ไม่แน่ว่าพวกเขาอาจกำลังวางแผนเพื่อเตรียมตัวมาวิหารระฟ้า
ระหว่างทางลงกลับพบพุทธองค์หลี่จิ้งหยางยืนขวางอยู่ ไป๋เยว่ชิงถึงหน้าตึงขึ้นมาในทันที
“พุทธองค์?”
“เยว่ชิงกำลังไปไหนหรือ? อาตมาบอกแล้วว่ายุทธภพนั้นอันตราย”
ยังคงเป็นนักบวชคนเดิมที่อ่อนโยนมีเมตตาจิต ทว่าเยว่ชิงอดไม่ได้ที่จะหัวเราะออกมา “เกี่ยวอะไรกับท่านกัน!? ข้าน้อยจะอยู่หรือจะตายก็ไม่เห็นว่ามันจะมีผลต่อพุทธองค์”
“...”
“ข้าน้อยน่ะไม่เอาเรื่องระหว่างเราไปโพทะนาหรอก พุทธองค์อย่าได้กังวลใจไป สองมือท่านที่สกปรกเปรอะเปื้อนนั่นด้วย ข้าน้อยก็จะช่วยปิดให้มิดชิด”
“เมื่อไรจะหยุดเสียที”
เยว่ชิงห่อไหล่ของตนเอง ดวงตาสีชามองจ้องไปที่ใบหน้าของผู้ทรงศีล สองเท้าก้าวเข้าหาพร้อมรอยยิ้ม “ท่านอยากให้ข้าน้อยหยุดเรื่องไหนดีเล่า หืม...”
หลี่จิ้งหยางยังคงยืนนิ่งเป็นกำแพงหิน ทว่าต่อมาก็ต้องถอยร่นเมื่อเยว่ชิงยื่นหน้าเฉียดใบหูไป
สดับเพียรหมื่นภพชาติ
0 ความคิดเห็น