บทที่ 9
สดับเพียรหมื่นภพชาติ
สดับเพียรหมื่นภพชาติ

แบบตัวอักษร
ตัวอักษร 1 ตัวอักษร 2
สีพื้นหลัง
Aa Aa Aa Aa
ขนาดตัวอักษร
Aa+ Aa-

บทที่ 9


         

        “ได้ยินว่าท่านไปพบพุทธองค์หลี่จิ้งหยางมา เป็นอย่างไรบ้างหรือ”


        เจ้าสำนักกาขาวเอ่ยถามอย่างนอบน้อม เสวี่ยฉินยกจอกสุราขึ้นดื่ม ถอนหายใจพลางส่ายหน้าเบาๆ “ก็อย่างที่พี่เซิ่งเข้าใจ พุทธองค์นั้นไม่สนใจเรื่องของยุทธภพ” 


        หลี่จิ้งหยางสงบนิ่งเป็นหินผาไร้ความรู้สึก ยามที่ดวงตาสีอำพันมองมาก็พบแต่ความว่างเปล่า 


        “อันที่จริงข้ามองว่า นักบวชที่ละทางโลกไปแล้วนั้น ไยจึงถือครองอำนาจไว้มากมาย”


        “หือ...”


        “ท่านเองก็คิดเหมือนกับที่อีกหลายสำนักคิด พุทธองค์หลี่จิ้งหยางนั้นสูงส่งเกินเอื้อม มีพลังมากมายที่เราทั้งยุทธภพก็มิอาจต่อกร ทว่าพุทธองค์มีปณิธานแน่วแน่เสมอว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับทางโลกและยุทธภพ ปรารถนาเพียงความสงบสุขและช่วยเหลือสัตว์โลก”


        “แล้วอย่างไรหรือ?”


        “ในเมื่อไม่คิดอยากต่อสู้แย่งชิงเฉกเช่นผู้อื่น ไฉนยังขวางทางของเราอยู่เล่า” 


        เสวี่ยฉินที่กำลังยกจอกเหล้าก็ค้างชะงักไปชั่วขณะ ที่ไจ๋เซิ่งเอ่ยมานั้นเขาและบิดาคิดเอาไว้ก่อนหน้าแล้ว เพียงแต่ไม่อยากพูดให้มากความไป ด้วยเกรงว่าสำนักอื่นอาจไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ยังมีอีกหลายสำนักในยุทธภพที่ให้ความยำเกรงต่อวิหารระฟ้า


        “อีกอย่างนะท่านเจ้าสำนักเทียนฉี สิ่งที่พุทธองค์เอื้อนเอ่ยมานั้น มันตรงข้ามกับการกระทำทั้งสิ้น หลี่จิ้งหยางผู้นี้เป็นนักบวชที่ยังหลงใหลอำนาจ ข้าว่าความวสงบนิ่งนั้นคือพลังที่เอาไว้ใช้ข่มขู่เสียมากกว่า”


        “พี่เซิ่ง ท่านก็อย่าเอะอะไป”


        เขาเอ่ยเตือนเจ้าสำนักกาขาวที่ดูเหมือนจะเริ่มเมามาย และพูดสิ่งที่อยู่ในใจของตนเองออกมา เสวี่ยฉินนึกไปถึงคำพูดของสหายมารเว่ยหนาน ที่บอกว่าเคล็ดวิชานั้นทรงพลัง เป็นเพราะปู่ของเว่ยหนาน หรือประมุขเว่ยหลาน ที่โดนพุทธองค์กำราบเมื่อหลายร้อยปีก่อนค้นพบความลับนี้


        เป็นเหตุผลให้เว่ยหนานสงสัยว่าการที่ปู่เขาปางตายในครั้งนั้น ก็คงเป็นเพราะพุทธองค์หลี่จิ้งหยางต้องการปิดปากไม่ให้ความลับหลุด แต่ในที่สุดประมุขเว่ยหลานก็สิ้นใจไปในที่สุด


        เคล็ดวิชานั้นสำคัญกับสำนักเทียนฉีมาก จะให้ผู้ใดล่วงรู้เพิ่มอีกไม่ได้!


        ไป๋เยว่ชิงนั่งมองการสนทนาของสองสำนักมาสักพัก ต่างก็มีเป้าหมายเดียวกันนั่นก็คือล้มวิหารระฟ้า ชิงเคล็ดวิชาอะไรสักอย่างที่พุทธองค์หลี่จิ้งหยางซ่อนมันเอาไว้


        หรือจะเป็นเคล็ดวิชาเดียวกับที่จื่อหลิงเคยบอกเขาไว้!


        จะอย่างไรก็ตามสิ่งที่ควรสะสางก็ยังต้องดำเนินต่อไป เยว่ชิงไม่อาจสละความแค้นทิ้งไปได้ ในขณะเดียวกันก็ไม่หวังให้เรื่องนี้มีตัวละครเพิ่ม เสวี่ยฉินนั้นฉลาดเฉลียวไม่น้อย สังเกตจากที่เขาพูดคุยกับเจ้าสำนักกาขาว คงใช้วิธีหว่านเมล็ดพืชลงในใจ แล้วรอมันเติบโตจากความคิดของคนผู้นั้นเอง สมกับเป็นเจ้าสำนักอันดับหนึ่งในใต้หล้า

         


        จื่อหลิงอยู่ไม่สุขเพราะเป็นห่วงไป๋เยว่ชิง ตั้งแต่ที่ลงเขาไปเพื่อสืบเรื่องของเสวี่ยฉิน ใจของเขาก็กระวนกระวายตลอดเวลา เป็นห่วงว่าเยว่ชิงอาจโดนเสวี่ยฉินทำร้ายเอาได้ มันพาลให้จื่อหลิงหลับตานอนไม่ลง ทำสมาธิสงบจิตก็แล้ว ล่าสุดเขาออกมายืนสมาธิท่ามกลางอากาศที่หนาวเหน็บ หวังว่ามันจะช่วยดับจิตที่ร้อนรุ่มลงได้


        ไฉนมันหนาวจนไม่อาจตั้งสมาธิได้เลย จื่อหลิงมือชา ปากสั่นอย่างควบคุมไม่ได้ แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังพยายามที่จะยืนฝืนทนต่อไป


        กึกกึกกึก!


        เสียงฟันกระทบกันเพราะอากาศที่หนาว ด้านหลังของจื่อหลิงนั้นมีพุทธองค์หลี่จิ้งหยางที่กำลังยืนมองอยู่จากระเบียงของวิหารระฟ้า ดวงตาสีอำพันมองสรรพสิ่งที่กำลังเคลื่อนไหวไปมา หลี่จิ้งหยางไม่รู้ด้วยซ้ำว่าความหนาวเหน็บเป็นเช่นไร ร่างกายนี้มิอาจตอบสนองต่อความรู้สึกได้อีกแล้ว เป็นผลจากการสำเร็จฌานสมาบัติขั้นสูงสุด หลี่จิ้งหยางตัดอาวรณ์ไร้ซึ่งอารมณ์แล้วทุกประการ 


        “โกหก!”


        แว่วเสียงเกรี้ยวกราดแทรกขึ้นมาในโสตประสาทการรับรู้ ปรากฏเป็นภาพของบุคคลที่พุทธองค์หลี่จิ้งหยางไม่สามารถลบเลือนได้ แม้ว่าจะพยายามมาโดยตลอดก็ตาม 


        “...”


        แรงแค้นตามสิงเป็นเงาตามตัว จะเอื้อนเอ่ยสิ่งใดออกไปก็ยากที่จะเปิดใจรับฟัง บัดนี้อีกฝ่ายมืดมัวจนมองไม่เห็นสิ่งใด


        “พุทธองค์น่ะหรือจะบรรลุนิพพาน ตราบใดที่ข้าน้อยยังอยู่ก็อย่าหวัง” 


        “เยว่ชิง”


        “หากคิดทำลายวิญญาณของข้าน้อย สองมือของพุทธองค์จะแปดเปื้อน ถ้าเป็นเช่นนั้นก็อย่าหวังเลยว่าจะได้ไปนิพพาน การที่ข้าน้อยไม่ยิมยอม ไม่ปล่อยวาง ท่านย่อมรู้ดีว่าจะไม่มีทางสำเร็จสมดังใจหวัง” 


        “อาตมายังยืนยัน ว่าอย่างไรก็ต้องไปนิพพานให้จงได้”


        “กี่ครั้งกี่หนที่พุทธองค์ทำเหมือนข้าน้อยเป็นสุนัขข้างถนน ข้าน้อยไร้ค่าไร้ความหมายเพียงนี้เชียวรึ? เวลานี้ท่านมีอำนาจเหนือฟ้าเหนือแผ่นดินแล้วสินะ สวรรค์จึงไม่กล้าแม้จะลงโทษทัณฑ์กับท่าน!”


        “อย่าเอ่ยโทษสวรรค์เยว่ชิง อาตมาไม่เคยเหนือไปกว่าโชคชะตา” 


        “เหอะ!”


        พุทธองค์หลี่จิ้งหยางเมินเฉยต่อเสียงในโสตประสาท ไป๋เยว่ชิงต้องได้รับการชำระจิตจากห้วงจิตมืดเสียก่อน จากนั้นคงต้องหาวิธีส่งกลับไปยังยมโลก ก่อนที่ทุกอย่างจะสายเกินกว่าจะแก้ไข หลี่จิ้งหยางยังคงหวั่นเกรงว่าวิญญาณไป๋เยว่ชิงจะเข้าสู่ยุทธภพ เมื่อนั้นสิ่งที่อยากซ่อนจากสายตาของคนทั้งโลกคงเผยออกมาหมดสิ้น 


        มองออกไปก็ยังเห็นจื่อหลิงยืนหนาวสั่นไม่ยอมกลับเข้าไปข้างใน เด็กพวกนี้ช่างไม่รู้จักประมาณตนเอาเสียเลย นานทีพุทธองค์จะบ่นสักครั้ง โดยส่วนใหญ่หลี่จิ้งหยางมักจะเอ่ยปากก็ต่อเมื่อเป็นเรื่องที่ควรพูด มิเช่นนั้นเขาก็จะไม่สนทนาพาทีไปเรื่อยกับผู้ใด 


        “หลี่จิ้งหยาง”


        น้ำเสียงราบเรียบแว่วเข้ามาอีกหน ครานี้ไม่ใช่เยว่ชิงแต่อย่างใด 


        “องค์ยูไล! ท่านอาจารย์!”


        “เรื่องเป็นแบบนี้ได้อย่างไร? เจ้าไม่ควรปล่อยเด็กคนนั้นให้ออกไปวิ่งวุ่นทั่วยุทธภพ” แม้ว่าน้ำเสียงจะนิ่งสงบไร้ซึ่งอารมณ์อื่นใด แต่หลี่จิ้งหยางรับรู้ว่าองค์ยูไลกำลังตำหนิ


        “ขออภัยท่านอาจารย์ ข้านั้นทำเรื่องวุ่นวายเสียเอง” 


        “ครั้งหนึ่งเราเคยยอมให้เจ้าได้ทำตามใจของตน ในตอนนั้นเจ้าบอกเราว่าสิ่งที่เจ้าคิดมันถูก” 


        “...”


        “คำว่า พุทธองค์ ที่ผู้อื่นใช้เรียกเจ้านั้น หมายถึงสรรพชีวิตทั้งหลายที่เจ้าต้องช่วยเหลือและดูแล รวมถึงปลอบประโลมจิตของพวกเขาให้สงบ เจ้าเป็นสาวกขององค์พระสัมมา ตัดแล้วซึ่งกิเลสทั้งหลายทั้งปวงเพื่อเข้าสู่หนทางนิพพาน”


        ทุกถ้อยคำสอนนั้นทำให้หลี่จิ้งหยางสงบใจขึ้นมาได้ ทว่าเขาเองย่อมรู้ตัวดีว่ากิเลสบางอย่างก็ยังคงตัดทิ้งไปไม่ได้เสียที


        “ขอรับท่านอาจารย์” 


        “แม้ว่าเจ้าจะต่อสู่เพื่อเด็กคนนั้นอีกกี่ครั้ง สุดท้ายลิขิตนี้มันก็ชัดเจนมาแต่ต้น ผู้ใดละเมิดก็ต้องรับโทษทัณฑ์อย่างที่สวรรค์กำหนด”


        “...”


        “หากคราวนี้เจ้ายังรับแทนเด็กคนนั้นอีก หนทางนิพพานของเจ้าคงไม่มีวันเป็นจริง ตัวเจ้าเองอยากวนเวียนอยู่ในทางนี้ซ้ำแล้วซ้ำเล่าหรือ? เจ้าอยากตื่นมาแล้วทำเรื่องเดิมเช่นนี้ไปอีกกี่ภพชาติกัน” 


        “ไม่ขอรับ” 


        “สถานะของเจ้าคือ พุทธองค์หลี่จิ้งหยาง สาวกแห่งองค์พระสัมมา ฉะนั้นอย่าได้หลงลืมหน้าที่ของตน อย่าละเมิดศีลและข้อห้ามเป็นอันขาด อย่าให้จริยวัตรที่งดงามต้องแปดเปื้อน เข้าใจหรือไม่?”


        “เข้าใจขอรับ” 


        เพียงเท่านั้นกระแสจิตขององค์ยูไลก็หายไป สิ่งที่อาจารย์กล่าวมานั้นแท้จริงก็เพื่อเตือนสติ เขาอยู่ในสถานะของนักบวช มิใช่จอมยุทธ์ในทางโลก ดังนั้นความนึกคิดและความรู้สึกบางอย่างจึงไม่สมควรเกิดขึ้น


        ไป๋เยว่ชิงลืมตาขึ้นมาจากการเข้าฌานสมาธิ เมื่อครู่คล้ายกับว่าได้สื่อสารกับพุทธองค์หลี่จิ้งหยาง แต่แล้วก็มีพลังบางอย่างผลักเขาออกอย่างแรง พลังนั้นกดทุกสิ่งอย่างในกายวิญญาณนี้ เยว่ชิงไม่คิดว่านั่นจะเป็นการกระทำของพุทธองค์ แต่มันก็ไม่แน่ว่าหลี่จิ้งหยางเองก็อาจจะชิงชังตัวเขาด้วยเช่นกัน 


หลี่จิ้งหยางอยากไปนิพพานจนตัวสั่นเพียงนี้ เยว่ชิงสาบานว่าจะพาหลี่จิ้งหยางไปลงนรกด้วยกัน ทางเดียวที่พุทธองค์หลี่จิ้งหยางจะได้ไป คือนิพานในเปลวเพลิงนั้นจนชั่วกัลป์

 

 

สดับเพียรหมื่นภพชาติ



0 ความคิดเห็น

Enjoybook
ที่อยู่ : 4/12 ม.5 ซ.ไสวประชาราษฏร์25 ต.ลาดสวาย อ.ลำลูกกา ปทุมธานี 12150
เวลาทำการ : 09.00-18.00 น. จันทร์-ศุกร์